โลโก้ของ เลือกให้
คำถามถามบ่อย

tag : เที่ยวญี่ปุ่น

หากคลิ๊กที่คำถาม คำตอบจะปรากฎขึ้น

หลายๆคนที่ไปญี่ปุ่น หรืออยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้ง เวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศแน่นอนว่าส่วนใหญ่เราจะใช้วิธีการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจะพูดไม่คล่องทั้งประโยคอาจเป็นการใช้การยิงคีย์เวิร์ดแล้วใช้ท่าทางสื่อสารไปด้วยใช่ไหมละคับ แต่ไหนๆไปเที่ยวบ้านเขาเมืองเขาทั้งที ฝึกพูดภาษาพื้นฐานสำหรับการสื่อสารนิดๆหน่อยๆก็ถือว่าสร้างความประทับใจทั้งเจ้าบ้าน และคนเที่ยวอย่างเราแล้วละคับ

วันนี้ผมเลยจะมาแนะนำประโยคง่ายๆสั้นๆ ไว้สำหรับพูดคุยกับชาวญี่ปุ่นเวลาไปเที่ยวกันคับ เราไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. おはようございます。 (o-ha-yo-go-sai-masu) (โอะ-ฮา-โย-โกะ-ซาย-มัส) หรือ สวัสดีตอนเช้า นั้นเองคับ เหมือนลักษณะกับคำว่า good morning ในภาษาอังกฤษ หรือ อรุณสวัสดิ์ ในภาษาไทยนั้นเอง เอาไว้กล่าวคำทักทายกันในตอนเช้า ส่วนใหญ่จะใช้กันไม่เกินเวลา 09.00 น. ของวันคับ แต่ทั้งนี้วัยรุ่นในปัจจุบัน มักใช้ในตอนเจอกันครั้งแรกของวัน โดยไม่ได้กำหนดเวลาใช้ตายตัว

 

2. こんにちは。 (kon-ni-ji-wa) (คน-นิ-จิ-วะ) คือ สวัสดีในตอนบ่าย คับ ส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นจะใช้คำนี้เป็นคำทักทายเมื่อพบเจอกัน หลังเวลา 09.00 น. ไปจนถึง 18.00 น. หรืก่อนพระอาทิตย์ตกดินนั้นเองคับ

 

3. こんばんは。 (kon-ban-wa) (คม-บัง-วะ) หรือ สวัสดีในตอนเย็น คำนี้อาจดูแปลกหูสำหรับคนไทย เพราะส่วนใหญ่คนไทยจะมีแค่ อรุณสวัสดิ์ ในตอนเช้า และใช้คำว่า สวัสดี หลังจากนั้นทั้งวัน แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่นที่ถือว่าเรื่องความเกรงใจและมารยาท พิธีการที่ค่อนข้างเยอะ จะมีคำว่าสวัสดี ถึงสามเวลาด้วยกัน ซึ่งคำว่า สวัสดีในตอนเย็นนี้ จะใช้หลังเวลา 18.00 น. ไปจนถึงตอนดึกหรือก่อนนอนเลยละคับ

 

4. おやすみなさい。 (o-ya-su-mi-na-sai) (โอ-ยะ-ซึ-มิ-นะ-ซาย) หรือ ราตรีสวัสดิ์ คือเป็นคำกล่าวให้กันก่อนนอนนั้นเองคับ ใช้คล้ายกับคำว่า Good Night ในภาษาอังกฤษนั้นเอง

 

5. はい。 (hi) (ไฮ) เป็นคำที่ใช้ในการตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายนั้นเองคับ เหมือนใช้คำว่า ครับ กับ ค่ะ เพื่อตอบรับผู้ที่พูดกับเราอยู่

 

6. いえ。 (i-e) (อี-เอะ) มีคำตอบรับแล้วก็ต้องมีคำปฎิเสธเช่นกัน ในคำนี้จะเป็นว่า ไม่ครับ/ไม่ค่ะ เพื่อปฎิเสธผู้ที่พูดกับเราอยู่นั้นเองคับ

 

7. ありがとうございます。(a-ri-ga-to-go-sai-masu) (อา-ริ-กา-โตะ-โกะ-ซาย-มัส)  คำเบสิกพื้นฐานที่ทุกคนอยากไปญี่ปุ่นต้องรู้จักดีคับ กับคับว่า ขอบคุณครับ/ค่ะ ใช้ได้หลายสถาณการณ์เลยคับ อยากขอบคุณคนญี่ปุ่น คิดไรไม่ออกใช้คำนี้ไปก่อนเลยคับ ฮ่าๆ

 

8. すみません。(su-mi-ma-sen) (สุ-มิ-มะ-เซน) คำนี้หลายๆคนอาจแปลว่าขอโทษ จริงๆแล้วถ้าหากความหมายตรงๆก็อาจใช่คับ แต่ส่วนมากจะใช้ความหมายที่เป็นลักษณะขอโทษเชิงขออนุญาติ ขอรบกวนหน่อย อะไรประมาณนี้มากกว่าคับ เช่น เราจะขอสอบถามทาง เราก็จะใช้คำนี้เพื่อขอคุยด้วยกับคนญี่ปุ่น หรือจะใช้เรียก พนักงานตามร้านค้าและร้านอาหารต่างๆก็ได้คับ คำนี้จะคล้ายๆกับ Excuse me ในภาษาอังกฤษ นั้นเองคับ

 

9. ごめんなさい。(go-men-na-sai) (โกะ-เมน-นะ-ซาย) หรือ ขอโทษ คำนี้เป็นทั้งความหมายและการใช้จริงๆกับคำว่า ขอโทษคับ/ค่ะ หากรู้ตัวว่าทำผิดพลาดอะไร คำนี้ใช้ขอโทษได้เลยคับ หากเปรียบเทียบกับภาษาอังกฤษ ก็คือว่า Sorry นั้นเองคับ

 

10. さようなら。(sa-you-na-ra) (ซา-โย-นา-ระ) สุดท้ายกับคำว่า ลาก่อนครับ/ค่ะ  คำนี้จะในกรณีต้องการบอกลากับอีกฝ่ายคับ

 

เป็นไงบ้างคับกับ 10 คำ 10 ประโยคพื้นฐานในการสื่อสาร คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีชาตินิยมที่สูงมาก หากนักท่องเที่ยวพูดภาษาบ้านเขาได้ คนญี่ปุ่นจะปลื้มมากๆเลยละคับ ไปเที่ยวบ้านเมืองเขาทั้งทีอย่าลืมแวะทักทายคนญี่ปุ่นด้วยภาษาญี่ปุ่นดูนะคับ รับรองมีความสุขทั้งคนพูดและคนฟังเลยละคับ  หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนเที่ยวประเทศญี่ปุ่นนะคับ แล้วเจอกันบทความหน้าว่า iWifi จะมาสอนภาษาญี่ปุ่นหรือจะมาในบทความอะไร แล้วติดตามกันนะคับ ^_^

 

#pocket wifi ญี่ปุ่น #pocket wifi japan #เช่า wifi ญี่ปุ่น #sim ญี่ปุ่น #sim japan #pocket wifi ยุโรป #sim ยุโรป #pocket wifiสหรัฐอเมริกา #pocket wifi อังกฤษ #sim #pocket wifi รายเดือน #sim รายเดือน #เช่า pocket wifi ญี่ปุ่น #pocket wifi ญี่ปุ่น #pocket wifi ไทย #sim ไทย #เช่า wifi ไทย

อยากไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่งบมีจำกัด ทำยังไงดีให้งบไม่บายปลายดีน้าา… วันนี้เรามีบทความมาแนะนำกันคะ สำหรับคนที่อยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่งบประมาณที่มีจำกัดไว้และอยากจะประหยัดเพื่อให้งบไม่เกินที่ตั้งไว้ เราไปดูกันคะว่า 7 เทคนิคที่ว่ามีอะไรบ้าง

1. ซื้อบัตร JR Pass สุดคุ้ม เดินทางทั่วญี่ปุ่นแบบไม่จำกัด

เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด เริ่มที่ JR Pass – All Area ตั๋วรถไฟสุดคุ้มที่สามารถพาคุณไปยังพื้นที่สำคัญทั่วประเทศญี่ปุ่น ให้คุณใช้บริการรถไฟในเครือ JR แบบไม่จำกัด รวมถึงรถไฟความเร็วสูงอย่างชินคันเซน (ยกเว้นขบวน NOZOMI และ MIZUHO) แถมยังใช้ได้กับรถไฟเอกชนบริษัทอื่น รถบัส และเรือเฟอร์รี่บางสายได้อีกด้วย พาสนี้สามารถซื้อได้โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาพำนักในญี่ปุ่นระยะสั้นเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มาเที่ยวญี่ปุ่น 2-3 ภูมิภาคขึ้นไป แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สำหรับที่นั่งชั้นกรีนคาร์ ซึ่งเป็นที่นั่งที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า เปรียบเสมือนกับที่นั่งเฟิร์สคลาสบนเครื่องบน และ สำหรับที่นั่งชั้นธรรมดา อีกทั้งยังมีช่วงเวลาการใช้งานให้เลือกหลากหลาย ดังนี้

1. แบบ 7 วัน (ที่นั่งชั้นธรรมดา : ผู้ใหญ่ 29,110 เยน, เด็ก 14,550 เยน)
2. แบบ 14 วัน (ที่นั่งชั้นธรรมดา : ผู้ใหญ่ 46,390 เยน, เด็ก 23,190 เยน)
3. แบบ 21 วัน (ที่นั่งชั้นธรรมดา : ผู้ใหญ่ 59,350 เยน, เด็ก 29,670 เยน)

นอกจากนี้ยังมี JR Pass ประเภทเฉพาะในภูมิภาคนั้นๆ อีก เช่น

-JR Central Pass ใช้เดินทางทั่วภาคกลางของญี่ปุ่น (แถบ Shirakawago, Takayama) เริ่มต้น 4,500 เยน
-JR West Rail Pass ใช้เดินทางทั่วญี่ปุ่นตะวันตก (แถบ Kobe, Nara) เริ่มต้น 2,200 เยน

*** ราคานี้เป็นราคา ณ วันที่เขียนบทความ ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง เช็คข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.japanrailpass.net ***

 

2. พักแบบชิลล์ๆ ที่โฮสเทล (Hostel)

เพราะที่พักก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณที่ทำให้เรา เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด ได้ ลองพักแบบ โฮสเทล ดูสิ แล้วคุณจะประหยัดในส่วนค่าพี่พักไปได้โขเลยล่ะ เพราะส่วนใหญ่โฮสเทลในญี่ปุ่นจะเริ่มต้นที่ 2,000 – 6,000 เยนต่อคืนเท่านั้น แต่ใครที่กลัวการเข้าพักในโฮสเทลล่ะก็ ขอบอกว่าเปลี่ยนความคิดไปได้เลย เพราะโฮสเทลในญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้นสะอาดสะอ้าน อยู่ใกล้สถานีขนส่งสาธารณะ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ตกแต่งสไตล์แปลกแหวกแนว และยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่อาจทำให้คุณได้เจอเพื่อนใหม่จากการ เที่ยวญี่ปุ่น ครั้งนี้ด้วย ถึงจะไม่สบายเต็มขั้นเหมือนพักโรงแรมเวลาไปเที่ยวกับทัวร์ แต่ก็ถือว่าได้อยู่ เหมาะกับคนเที่ยวเองแบบง่ายๆ หรือไปเที่ยวกับเพื่อนหลายๆ คนก็ได้ค่ะ

 

3. ใช้ตั๋วเซชุน 18 คิปปุ (JR Seishun 18 Kippu) นั่งรถไฟท้องถิ่น ไม่จำกัดครั้ง!

อีกตั๋วโดยสารที่ขอแนะนำเมื่อคุณจะ เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด ตั๋วเซชุน 18 คิปปุ เป็นตั๋วรถไฟประเภทรายวัน ที่คุณสามารถโดยสารรถไฟ JR ทั้งรถไฟท้องถิ่น รถไฟด่วน ไปจนถึงรถไฟด่วนใหม่ เรือเฟอร์รี่ JR Miyajima รถบัสและไนท์บัสบางสาย ที่มีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง (แต่ไม่สามารถใช้ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษหรือชินคันเซนได้) ตั๋วชนิดนี้ราคาใบละ 11,850 เยน ใช้ได้ 5 วัน (ไม่จำเป็นต้องใช้วันติดกัน แต่ต้องใช้ไม่เกินวันหมดอายุบนตั๋ว) สามารถซื้อตั๋วนี้ได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋วตามสถานีรถไฟ JR ได้เลย แต่อย่างไรก็ตามข้อจำกัดคือ ตั๋วประเภทนี้จะมีขายแค่บางช่วงเวลาของปี คือ ช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ (20 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม), ฤดูร้อน (1 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม) และฤดูหนาว (1 – 31 ธันวาคม) เท่านั้น ยังไงก่อนซื้อก็ลองคำนวณค่ารถไฟที่ต้องใช้ต่อวันให้ดี เปรียบเทียบความคุ้มค่าและความจำเป็นด้วยนะจ๊ะ

 

4. เปิดประสบการณ์ นอนโรงแรมแคปซูล (Capsule Hotel)

เพื่อการ เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด ลองเข้าพักที่ โรงแรมแคปซูล แล้วคุณจะประหยัดค่าที่พักไปแบบครึ่งต่อครึ่ง โดยค่าที่พักต่อคืนอยู่ที่ประมาณ 2,000 – 5,000 เยนต่อคืนเท่านั้น แต่ด้วยขนาดที่จำกัด ทำให้ที่พักประเภทนี้อาจจะเหมาะสำหรับคนที่มีสัมภาระไม่เยอะ หรือเน้นการเที่ยวแบบทั้งวัน และสำหรับที่พักคือเข้ามานอนเท่านั้น หากไม่ซีเรียส โรงแรมแคปซูลคือตัวเลือกหนึ่งที่ดีเลยล่ะ เพราะภายในโรงแรมแคปซูลก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ต่างจากโรงแรม เช่น ทีวี ปลั๊กไฟ วิทยุ นาฬิกาปลุก รวมถึงไฟอ่านหนังสือ และสำหรับคุณผู้หญิงก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะปัจจุบันโรงแรมแคปซูลก็มีเปิดเป็น Ladies Zone ด้วย ปลอดภัยหายห่วง ส่วนการเดินทางก็ถือว่าสะดวกเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่แล้วโรงแรมแคปซูลจะตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟ

 

5. ใช้บริการ ไนท์บัส (Night Bus) ในการข้ามเมือง

อย่างที่บอกว่าจะ เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด ต้องหาข้อมูลการเดินทางและที่พักให้ดี ซึ่งสำหรับการเดินทางข้ามเมือง นอกจากจะมีพาสต่างๆ มากมายให้นักท่องเที่ยวอย่างเราเลือกสรรแล้ว ยังมี ไนท์บัส เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่จะเดินทางข้ามจังหวัด/ข้ามภูมิภาคภายในญี่ปุ่น โดยสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 2,500 – 11,000 เยนต่อเที่ยวเท่านั้น (ราคาแล้วแต่เส้นทาง) คุณสามารถประหยัดค่าที่พักไปได้ 1 คืนเลยสำหรับเส้นทางที่ไกล ประมาณว่าขึ้นรถบัสตอน 5 ทุ่ม ถึงจุดหมาย 8 โมงเช้า แต่การเดินทางด้วยไนท์บัสอาจจะเหมาะกับคนที่หลับง่าย ไม่ซีเรียสเรื่องเวลา หรือเที่ยวกันเองในหมู่เพื่อนๆ เพราะการนั่งรถประเภทนี้มีพื้นที่จำกัด ที่นั่งอาจไม่กว้างขวางแต่ก็พอที่จะขยับตัวได้ ซึ่งถ้าพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ รวมถึงการเดินทางนานที่อาจใช้เวลาข้ามคืนเลยทีเดียว

 

6. ซื้ออาหารให้ถูกเวลา อิ่มแบบประหยัดได้อีก

เทคนิคการ เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด ในส่วนของค่าอาหารนั้น มีอยู่ว่าคุณจะสามารถซื้ออาหารได้ในราคาที่ถูกกว่าเดิมครึ่งต่อครึ่งเลยล่ะ ถ้าไปซื้ออาหารตามซูเปอร์มาร์เก็ตก่อนเวลาปิด 1 ชั่วโมง คุณจะเห็นพนักงานเริ่มแปะป้ายลดราคาอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ต้องกินภายในวันนั้น หรือของสดที่จะหมดอายุวันนี้ และยิ่งใกล้เวลาปิดมากเท่าไหร่ พนักงานก็อาจจะแปะป้ายลดราคาอาหารทับไปเรื่อยๆ จนถึงลดครึ่งราคา! แต่ว่าของถูกและดีก็ต้องแย่งชิงกันหน่อย เพราะอาหารยอดนิยม จำพวกซูชิ ซาชิมิ ข้าวกล่องเบนโตะ หรือผลไม้ตามฤดูกาล เจอแล้วต้องรีบหยิบ เพราะหันมาอีกทีอาจจะหมดไปแล้วก็ได้ ซึ่งขอบอกว่าหมดเร็วมากจริงๆ ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ ถือเป็นเทคนิคประหยัดแบบสนุกๆ ระหว่าง ทัวร์ญี่ปุ่น นะคะ

 

7. เที่ยวสะดวก เดินทางสบาย ไปกับทัวร์ก็ดีนะ

อย่างที่รู้กันว่าไปเที่ยวญี่ปุ่นกับบริษัททัวร์ ก็จะได้เที่ยวแบบสะดวกสบาย แค่เลือกโปรแกรมทัวร์ที่เราสนใจตามงบประมาณที่เรามี แถมมีไกด์พาเที่ยวไม่มีหลง ไม่ต้องเสียเวลาวางแผนเองให้ยุ่งยาก ไม่ต้องกังวลเรื่องการสื่อสารด้านภาษา การเดินทางก็มีรถรับ-ส่งทุกที่ และยังได้จัดเต็มที่เที่ยวไฮไลท์ของญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ เรียกว่าแค่คุณจองโปรแกรม ชำระเงิน แค่นี้เท่านั้น แล้วก็กลับไปนอนตีพุง จัดกระเป๋าเก๋ๆ รอวันเดินทางแบบชิลล์ๆ ได้เลย เหมาะสำหรับใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัว พาคุณพ่อคุณแม่ไปด้วย หรือจะไปสวีทหวานกับคนรู้ใจแบบชิลล์ๆ ก็สามารถเลือกโปรแกรมที่เหมาะกับความชอบได้เลย แถมยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่าเที่ยวเองอีกด้วยค่ะ ใครสนใจเที่ยวญี่ปุ่นกับทัวร์ ทาง Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น ให้เลือกหลากหลายเส้นทาง แนะนำว่าให้จองที่นั่งล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นถ้าช้า โปรแกรมที่เราสนใจอาจจะเต็มก็ได้นะ

เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับ 7 เทคนิคในการ เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด ซึ่งเพื่อนๆ สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับความต้องการและเส้นทางของตัวเองได้เลย เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด ในส่วนที่สามารถประหยัดได้ แต่ไม่ถึงกับต้องเซฟงบจนหมดสนุกนะคะ เรียกว่าตัดสิ่งไม่จำเป็น แล้วหาวิธีที่ทำให้เที่ยวได้สนุกแต่จ่ายน้อยลงจะดีกว่า แค่นี้ก็มีเงินเหลือไปกินให้อิ่มพุง ช้อปให้สบายใจ รับรองว่า ทัวร์ญี่ปุ่น ของคุณครั้งนี้จะต้องสนุกกว่าที่เคยแน่นอน

ขอขอบคุณบทความจาก : https://www.mushroomtravel.com/page/save-cost-travel-japan/

เที่ยวญี่ปุ่น? เที่ยวที่ไหน? คนจะรู้ว่าไปญี่ปุ่นละ! คำถามนี้หลายๆคนที่อยากไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีให้อัพรูปลงโซเซียลแล้วคนรู้ว่าไปญี่ปุ่น!! วันนี้เรามาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น 10 อันดับยอดนิยมและน่าเที่ยวสำหรับคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นดีกว่าคะ เราไปดูกันว่ามีที่ไหนบ้างยอดฮิต และน่าเที่ยว

1. พระราชวังอิมพีเรียล

พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีก หนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน

ซึ่ง ภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ

 

2. โตเกียว ทาวเวอร์

โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอย สื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของ โลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย

 

3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ

ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า “กัสโช” หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการ ใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

 

4. ภูเขาฟูจิ

ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko) หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu

นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้

 

5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ

เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่ง ท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่ สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม

 

6. โอซาก้า

เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan

แต่ ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร “คุอุดะโอะเระ” ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยากิ

 

7. ปราสาทฮิเมะจิ

ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด

ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น

อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้ บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน

 

8. วัดโทไดจิ

วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญ ของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือ วิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)

 

9. ฮอกไกโด

ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของ ญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม

โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็น เมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้

เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส

 

10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ

  เมืองฟุระโนะ ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดู หนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือน กันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคม ถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี

เรียกได้ว่า 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เรานำมาฝากนี้ จะเป็นทางเลือกที่ดีในการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่น เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสักที่เลยจ้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://travel.kapook.com/view62960.html

เข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ มุ่งเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนในช่วงเดือน มิถุนายน ถึง สิงหาคม แล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมองภาพเที่ยวช่วงหน้าร้อนญี่ปุ่นไม่ออกซักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะมองช่วงใหญ่ๆเช่น ฤดูหนาวกับหิมะ ฤดูใบไม้ผลิกับใบไม้เปลี่ยนสี ฤดูใบไม้ผลิกับซากุระ แต่ฤดูร้อนมีอะไร? จริงๆแล้วฤดูร้อนของญี่ปุ่นเป็นช่วงที่มีเทศกาลเยอะมากที่สุดฤดูหนึ่งของปีเลยก็ว่าได้ มีประเพณีและกิจกรรมที่สืบทอดกันมายาวนานในช่วงฤดู ทำให้เป็นเสน่ห์ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง วันนี้เรามาดูกันคะว่าช่วงหน้าร้อนญี่ปุ่นมีเทศกาลอะไรน่าสนใจบ้าง เผื่อใครสนใจไปเที่ยวญี่ปุ้นในหน้าร้อนนี้

1. เทศกาลชะงุ ชะงุ อุมะโก Chagu Chagu Umakko

เทศกาลแห่ม้าที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน 200 ปี เดิมทีส่วนหนึ่งของเทศกาลฉลองความสมบูรณ์ของการปลูกข้าว จัดขึ้นที่เมืองทากิซาวาและโมริโอกะของจังหวัดอิวาเตะ โดยมีขบวนแห่ม้ากว่า 100 ที่มีการตกแต่งบนตัวด้วยสีสันสดใสและระฆังที่ดังกังวานไปตลอดระยะ 15 กิโลเมตร ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมให้เป็นหนึ่งใน100 ภูมิทัศน์ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นและมรดกทางวัฒนธรรมพื้นบ้านควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้

ระยะเวลาจัดงาน : วันเสาร์ที่ 2 เดือนมิถุนายนของทุกปี

สถานที่จัดงาน : เมืองทากิซาวาและโมริโอกะ จังหวัดอิวาเตะ ภูมิภาคโทโฮคุ (Takizawa, Iwate, Tohoku Area)

 

2. เทศกาลทานาบาตะ Tanabata Festival

เทศกาลแห่งความโรแมนติกของคนญี่ปุ่นหรือที่เรียกอีกอย่างว่าเทศกาลดวงดาว ที่เชื่อว่าเจ้าหญิงทอผ้าและชายเลี้ยงวัวจะได้พบกันเพียงปีละครั้ง และจะมีการเขียนคำอธิษฐานต่างๆบนกระดาษแผ่นเล็กๆหลากสีสันที่เรียกว่า ทังซะกุ (Tanzaku) แล้วจึงนำไปแขวนประดับกับกิ่งไผ่เพื่ออธิษฐานขอพรจากดวงดาวโอริฮิเมะ (Orihime )ที่เชื่อว่าจะทำให้สมหวังตามที่ปรารถนา ซึ่งช่วงเวลากลางคืนจะมีการประดับไฟอย่างสวยงาม รวมทั้งยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายภายในงาน โดยจะมีการจัดเทศกาลนี้ทั่วทั้งญี่ปุ่น แต่จะมีอยู่ 3 เมืองที่มีการจัดอย่างยิ่งใหญ่ คือ วันที่ 6 – 8 สิงหาคม 2017 เมืองเซนได จังหวัดมิยางิ (Sendai, Miyagi ), วันที่7 – 9 กรกฎาคม 2017 เมืองโชนัน ฮิราสึกะ จังหวัดคะนะงะวะ (Shonan Hiratsuka, Kanagawa)  และวันที่  4 –6 สิงหาคม 2017 เมืองอันโจ จังหวัดไอจิ (Anjo, Aichi)

ระยะเวลาจัดงาน : เดือนกรกฎาคม – เดือนสิงหาคมของทุกปี(ปกติงานทั่วๆไปจะจัดทุกๆวันที่ 7กรกฎาคม )

สถานที่จัดงาน : จัดงานทั่วประเทศ

 

3. เทศกาลชินจูกุ ไอสะ Shinjuku Eisa Festival

เทศกาลการร่ายรำแบบโอกินาว่าที่จัดขึ้นในย่านชินจูกุของกรุงโตเกียว งานเริ่มตั้งแต่เวลา 12.00 น. ไปจนถึง 20.00 น.โดยมีขบวนนักเต้นรำและนักดนตรีแต่งตัวแบบดั้งเดิมมากกว่า 23 คณะแสดงการร่ายรำด้วยศิลปะแบบโอกินาว่าอย่างคึกคัก เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสนุกสนานด้วยจังหวะการตีกลองไทโกะประกอบเพลงด้วยลีลาที่พลิ้วไหวฟังแล้วแทบขยับตาม ประกอบการร่ายรำที่พร้อมเพรียงสวยงามไปตลอดเส้นทาง

ระยะเวลาจัดงาน : ปลายเดือนกรกฎาคมของทุกปี (ปี 2017 วันที่ 29 กรกฎาคม )

สถานที่จัดงาน : ย่านฮาราจูกุ กรุงโตเกียว ( Harajuku, Tokyo)

 

4. เทศกาลคังเก็นไซ Kangen Sai Festival

เทศกาลใหญ่ที่สำคัญของพิธีกรรมทางเรือที่ญี่ปุ่น จัดโดยศาลเจ้าอิสึคุชิมะ(Itsukushima)ตั้งอยู่ในจังหวัดฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นการผสมผสานพิธีกรรมทางศาสนากับดนตรีดั้งเดิมได้อย่างกลมกลืน โดยการนำเรือที่จุดไฟสว่างไสวล่องไปยังศาลเจ้าบริเวณรอบๆและระหว่างนั้นนักบวชที่อยู่ภายในเรือจะมีการบรรเลงดนตรีแบบคังเก็ง(Kangen Music) ซึ่งนอกจากการแสดงตรีแล้วนั้นยังมีการแสดงรำประกอบดนตรีราชสำนักด้วยเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น อย่าง ขลุ่ย กลอง และเครื่องสาย ที่ล้วนเป็นการแสดงที่สวยงามและหาชมยากจากที่อื่น

ระยะเวลาจัดงาน : ปลายเดือนกรกฎาคม – ต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี

สถานที่จัดงาน : จังหวัดฮิโรชิม่า ภูมิภาคชูโกคุ (Hiroshima,Chugoku)

 

5. เทศกาลเนบุตะ มัตสึริ Aomori Nebuta Matsuri

เทศกาลหุ่นโคมไฟสืบสานกันมายาวนานกว่า 300 ปี จัดขึ้นตามเมืองต่างๆของจังหวัดอะโอะโมะริ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ไฮไลท์ของเทศกาลคือขบวนพาเหรดโคมไฟขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีการสร้างสรรค์จำลองตัวละครจากละครคะบุกิ เรื่องเล่าตามวัฒนธรรม หรือละครอิงประวัติศาสตร์ที่ได้รับความนิยม การแสดงกลองอันสนุกสานไทโกะและนักเต้นฮาเนโตะที่จะการร่ายรำแบบพื้นเมืองไปตลอดทาง และในวันสุดท้ายของงานจะมีการแสดงดอกไม้ไฟริมแม่น้ำตระการตาเพื่อเป็นการปิดท้ายงานเทศกาลอย่างยิ่งใหญ่

ระยะเวลาจัดงาน : วันที่ 2-7 สิงหาคมของทุกปี

สถานที่จัดงาน : จังหวัดอะโอโมริ ภูมิภาคโทโฮคุ (Aomori,Tohoku)

 

6. เทศกาลยามางาตะฮานะกาสะ Yamagata Hanagasa Matsuri

เทศกาลที่ติดอันดับ 1 ใน 4 ความยิ่งใหญ่ที่สุดของภูมิภาคโตโฮกุ ตลอดระยะเวลาจัดงานนั้นมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 1 ล้านคน จัดขึ้นที่จัดหวัดยางานาตะ โดยจะมีขบวนแห่การร่ายรำหลากหลายรูปแบบของชาวเมืองกว่า 10,000 คน ที่แต่งกายอย่างสวยงามตามฉบับของญี่ปุ่นและสวมหมวกฟางติดดอกไม้เทียม (Hanagasa) ท่ามกลางจังหวะกลองของกลองฮานากาสะไดโกะ (Hanagasa-Daiko)และเสียงตะโกน “Yassho! Makkasho!” ซึ่งผู้เข้าร่วมชมสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างสนุกสนาน

ระยะเวลาจัดงาน : วันที่ 5 – 7 สิงหาคมของทุกปี

สถานที่จัดงาน : จังหวัดยะมะงะตะ ภูมิภาคโทโฮคุ (Yamagata,Tohoku)

 

7. เทศกาลโอบ้ง Obon Festival

เทศกาลโคมไฟจัดขึ้นเพื่อระลึกถึงดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่กลับมายังบ้านเกิด เพื่อให้เกิดความครื้นเครงในช่วงที่ได้กลับมาที่บ้านของตน โดยเป็นความเชื่อทางศาสนา จะมีพิธีการจุดตะเกียงต้อนรับที่หน้าบ้าน ถวายผักบูชา ภายในงานจะมีสิงหาคมของทุกปีการละเล่นรื่นเริง การเต้นโอบ้ง และมีการบรรเลงเพลงด้วยกลองหรือเครื่องดนตรีอื่นๆ เพื่อสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน และในวันสุดท้ายจะมีการจุดไฟโอคุริบิ (Okuribi):ซึ่งเป็นตะเกียงแล้วลอยลงแม่น้ำเป็นการส่งวิญญาณบรรพบุรุษกลับไปยังปรโลก ซึ่งในช่วงเทศนี้นับว่าเป็นหนึ่งในช่วงวันหยุดยาวแห่งชาติกันเลยทีเดียว

ระยะเวลาจัดงาน : วันที่ 13 -15  สิงหาคมของทุกปี และเขตคันโตวันที่ 13 – 15 กรกฎาคมของทุกปี

สถานที่จัดงาน : ทั่วทั้งญี่ปุ่น

 

8. เทศกาลฟุกะงะวะฮาจิมังมัตสึริ Fukagawa Hachiman Matsuri

เทศกาลขบวนแห่ศาลเจ้าที่มีความเก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดของโตเกียวของศาลเจ้าโทมิโอกะฮาจิมังงู โดยจะมีการแห่ศาลเจ้าจำลองไปรอบๆบริเวณ อีกไฮไลท์หนึ่งคือการสาดน้ำผู้ร่วมขบวนแห่ไปตลอดทาง ที่เชื่อว่าเป็นการทำให้ผู้แห่บริสุทธิ์ ทำให้บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความสนุกสนานรื่นเริง ซึ่งงานนี้มีศาลเจ้าเข้าร่วมขบวนแห่มากถึง 180 แห่ง ที่สำคัญงานมี 3 ปีครั้ง (ครั้งล่าสุดจัดปี 2014)

ระยะเวลาจัดงาน : กลางเดือนสิงหาคม 2017 (ปี 2014 วันที่ 15 – 17 สิงหาคม)

สถานที่จัดงาน : ศาลเจ้าโทมิโอกะฮาจิมังงู โตเกียว (Tomioka Hachimangu , Tokyo)

 

9. เทศกาลฮาราจูกุ โยซาโกอิ Harajuku Omotesando Genki Matsuri Super Yosakoi

เทศกาลเต้นรำแบบดั้งเดิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น จัดที่ถนนโอโมเตะซันโดในย่านฮาราจูกุของกรุงโตเกียว ภายในงานมีการแข่งขันการเต้นรำโยซาโกอิ ทำให้มีนักแสดงร่วมงานกว่า 6,000 คนและมีกว่า 100 ทีมทั่วญี่ปุ่นเข้าร่วมแข่งขัน รวมทั้งช่วงเย็นยังมีขบวนพาเหรดของนักแสดงที่สร้างสีสันเป็นอย่างมากไปตามถนนโอโมเตะซันโด

ระยะเวลาจัดงาน : ปลายเดือนสิงหาคมของทุกปี (ปี 2017 วันที่ 26 – 27 สิงหาคม)

สถานที่จัดงาน : ถนนโอโมเตะซันโด ย่านฮาราจูกุ โตเกียว (Omotesando, Harajuku, Tokyo)

 

10. เทศกาลโคเอนจิ อะวะ โอโดริ Koenji Awa Odori

เทศกาลเต้นรำอะวะโอโดริที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่น จัดขึ้นที่ย่านโคเอนจิของกรุงโตเกียว มีขบวนนักเต้นและนักดนตรีกว่า 10,000 คน ซึ่งจะมีการแสดงท่าร่ายรำที่เรียกว่า อะวะโดริ (Awa Odori) ประกอบเสียงเพลงที่ครึกครื้นตั้งแต่ช่วงเย็นถึงเวลาค่ำๆ(ประมาณ 17:00 – 20:00 น.) โดยนักท่องเที่ยวสามารถร่วมเต้นรำไปกับขวนได้อย่างสนุกสนาน

ระยะเวลาจัดงาน : ปลายเดือนสิงหาคมของทุกปี

สถานที่จัดงาน : โคเอนจิ โตเกียว (Koenji, Tokyo)

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.talonjapan.com/japan-summer-matsuri/

ไปญี่ปุ่นแต่งตัวยังไงดี ? เป็นคำถามยอดฮิตมากๆ สำหรับ หนุ่มสาว ที่มือใหม่โกเจแปน ก่อนอื่นเราต้องบอกก่อนว่าประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่เราสามารถไปเที่ยวได้ทุกฤดูกาล ฉะนั้นนักท่องเที่ยวอย่างเราเตรียมตัวให้พร้อม จะได้ท่องเที่ยวแบบเต็มที่ !

ฤดูหนาว ช่วงเดือน ธันวาคม – กุมภาพันธุ์

ญี่ปุ่นช่วงน่าหนาวจะมีคนเดินทางไปเที่ยว ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะช่วงเดือน มกราคม – กุมภาพันธุ์ ช่วงนั้นอากาศจะหนาวจัด อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 0-10 องศาเซลเซียส ในบางวันก็อาจจะมีอุณหภูมิติดลบ ก็อาจจะมีหิมะตกมาให้เราเห็นกัน
อุณหภุมิในเมืองไทยกับญี่ปุ่น ค่อนข้างต่างกันมาก เพราะที่ไทย อากาศค่อนข้าง ร้อนจัด เมื่อเราไปเจอกับอากาศหนาว เราควรใส่เสื้อผ้าหนาๆ เพื่อให้ได้ร่างกายปรับอุณหภูมิและให้ความอบอุ่นกับร่างกาย  เช่น เสิ้อโค้ท , ผ้าพันคอ , ถุงเท้า , ที่ปิดหู , ร้องเท้าบูธ เป็นต้น

มาดูวิธีการแต่งตัว กันดีกว่าค่ะ
 

ฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเดือน มีนาคม – พฤษภาคม

เมื่อผ่านพ้นฤดูหนาวมาแล้ว ญี่ปุ่นก็เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิให้เราได้ชื่นชมบรรยากาศกันอีก ก็ถือว่ายังเป็นอีกหนึ่งฤดูที่น่าเที่ยว เพราะอากาศกำลังดี อากาศยังเย็นๆ อยู่ ไม่หนาว และ ไม่ร้อน จนเกินไป แถมยังเป็นช่วงที่ ดอกซากุระเริ่มบานแล้วอีกด้วย ทำให้วิวและบรรยากาศ สวยสุดๆ
อากาศแบบนี้เราสามารถแต่งตัวยังไงก็ได้เต็มที่ แต่ก็ยังอยากให้มีเสื้อแขนยาวอยู่นะคะ เพราะอากาศก็ยังเย็นๆ อยู่  เน้นแบบแขนยาวใส่สบายๆ เก๋ๆ ไม่ให้ดูเชยดีกว่าเนอะ

 

ฤดูร้อน ช่วงเดือน มิถุนายน – สิงหาคม

เมื่อญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่เดือน มิถุนายน ลมร้อนเริ่มพัดมา นั้นแปลว่า ใกล้จะถึงฤดูร้อนแล้ว แต่พอถึงฤดูนี้แล้วคนญี่ปุ่นก็มักจะชอบเหมือนกัน เพราะเมื่อถึง ฤดูร้อนแล้ว ก็จะมีกิจกรรมอะไรหลายๆอย่างให้ทำ แถมยังแต่งกาย ชิวๆ ตามแบบ คนไทยอย่างเราได้ด้วย

 

ฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเดือน กันยายน – พฤศจิกายน

ฤดูใบไม้ร่วง อากาศตอนนี้น่าเที่ยวไม่แพ้ ฤดูใบไม้ผลิเลย เพราะอากาศจะเย็นๆ แต่ไม่ถึงกับหนาว เย็นกำลังดี เหมามาก สำหรับคนที่ไม่อยากเที่ยวอากาศหนาวๆ จนเกินไป
เรื่องการแต่งตัวก็แต่งตัวได้แบบสบายๆ ไม่ต้องกลัวร้อน แต่ไม่ต้องสวมเสื้อคลุมหนาๆ ให้มันบังแฟชั่นของเรานะคะ


เป็นไงบ้างคะ กับการเลือกการแต่งกายไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกฤดูทั้งปี หวังว่าเพื่อนๆจะแต่งตัวเที่ยวกันอย่างสนุกนะคะ แล้วอย่าลืมเช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วยนะคะ ^^
#เอาใจมือใหม่โกเจแปน #iwifi

ผู้เขียนรีวิวนี้
Wiparat (Wi)
สวัสดีค่ะ สดใส พูดเก่ง เรียบง่าย คิดถึงวินะคะ


CATEGORY


SEARCH FAQ