โลโก้ของ เลือกให้
คำถามถามบ่อย

tag : อินเตอร์เน็ต

หากคลิ๊กที่คำถาม คำตอบจะปรากฎขึ้น

ในปัจจุบันอินเตอร์เน็ตแทบเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องใช้ทักที่ทุกเวลา เพื่อใช้ในการทำงาน เรียน หรือติดต่อสื่อสารต่างๆ ยิ่งคนไปเที่ยวต่างประเทศใช้ในการติดต่อกลับมาบ้าน ใช้อัพรูปลงโซเซียลต่างๆ รวมถึงติดต่อสื่อสารทางธุรกิจต่างๆยิ่งจำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ต ปัจจุปันเวลาใช้งานอินเตอร์เน็ตต่างประเทศมีให้เลือกมากมายทั้งการเช่า Pocket Wifi ไปใช้ในต่างประเทศการซื้อซิมไปใช้ต่างประเทศ  มีให้เลือกมากมายในปัจจุบัน วันนี้เรามีบทความทริปเทคนิคการเลือกใช้อินเตอร์เน็ตต่างๆ เพื่อนำไปใช้งานในต่างประเทศแบบง่ายๆใครก็ทำได้ เราไปดูกันว่ามีอะไรบ้างคับ

1. รู้จักจุดหมายปลายทาง

การรู้จักข้อมูลเบื้องต้นของจุดหมายปลายทางที่คุณจะไปถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะทำให้คุณรู้ว่าจะใช้อินเตอร์เน็ตอย่างไร โดยเริ่มพิจารณาถึงความเจริญก้าวหน้าของประเทศที่คุณต้องเดินทางไป และมองลึกไปถึงพื้นที่ท้องถิ่นปลายทางของคุณ เพราะประเทศที่พัฒนาแล้วมักจะมี Wi-Fi สาธารณะให้ใช้งานตามเมืองใหญ่แล้วในยุคสมัยนี้ พร้อมบริการโรมมิ่งที่เชื่อถือให้คุณเลือกใช้อินเตอร์เน็ตในต่างประเทศได้ตามความต้องการ ซึ่งก็ต่างกับการเดินทางไปประเทศด้อยพัฒนาหรือเข้าไปยังเขตทุรกันดารที่อาจยังมีบริการเหล่านี้ไม่ทั่วถึง

 

2. เลือกใช้อินเตอร์เน็ตที่ต้องการ

เมื่อรู้ถึงข้อมูลปลายทางแล้ว คุณก็พอจะทราบได้แล้วว่าประเทศนั้นๆ เหมาะกับการใช้อินเตอร์เน็ตแบบไหน จากนั้นก็มาวิเคราะห์ลักษณะการใช้ของคุณเอง เพื่อเลือกใช้เน็ตต่างประเทศจากตัวเลือกมากมายดังนี้

บริการโรมมิ่ง (Roaming) การโรมมิ่งเหมาะกับคนที่มีธุรกิจหรือจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ที่ติดต่อสื่อสารได้ตลอดเวลา เพราะคุณสามารถใช้ทั้งการโทรศัพท์เข้า-ออกและใช้อินเตอร์เน็ตในต่างประเทศได้จากเบอร์โทรศัพท์ เช่นการใช้ Sim2Fly ของ AIS และมีบริการให้อย่างครอบคลุมหลายประเทศแล้วในปัจจุบัน แต่ค่าบริการของแต่ละประเทศจะไม่เท่ากันและยังเป็นตัวเลือกใช้เน็ตต่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด

ซื้อซิมท้องถิ่นหรือซิมท่องเที่ยว (Local / Travel SIM) การเลือกซื้อซิมต่างประเทศเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจซึ่งประหยัดกว่าการโรมมิ่ง โดยสามารถหาซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายในไทยเช่นร้าน iWifi ที่มีบริการทั้ง sim ญี่ปุ่น, sim ยุโปร และ sim ต่างประเทศ เป็นต้นหรือซื้อได้จากสนามบินปลายทาง เพียงเปลี่ยนซิมในโทรศัพท์เครื่องเดิมก็สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องพกอุปกรณ์อื่นให้ยุ่งยาก

เช่าอุปกรณ์ Wi-Fi พกพา (Pocket Wi-Fi) ไปต่างประเทศใช้เน็ตยังไง? ก็เช่า Pocket Wi-Fi ใช้ต่างประเทศนี่แหละคือคำตอบที่ดีที่สุดของเหล่านักท่องเที่ยว เพราะนอกจากเป็นการเชื่อมต่อเน็ตในราคาประหยัดกว่าโรมมิ่งแล้ว ยังสามารถแบ่งปันสัญญาณให้เพื่อนร่วมทริปแล้วหารค่าใช้จ่ายกันก็ยิ่งถูกเข้าไปใหญ่ เพียงติดต่อผู้ให้บริการเครื่อง Wi-Fi พกพาแล้วจ่ายค่าเช่าตามจำนวนวันที่คุณจะใช้ เหมาะกับคนที่ชอบออนไลน์ตลอดเวลา และยังใช้แอพโทรผ่านเน็ตก็ได้ แต่มีข้อเสียเล็กๆ ตรงที่จะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับความแรงของสัญญาณ 3G หรือ 4G ในท้องที่นั้นๆ เหมือนโทรศัพท์มือถือนั่นเอง

 

3. ปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตที่ควรรู้

แน่นอนว่าอินเตอร์เน็ตในแพ็คเกจโรมมิ่ง, ซิมต่างประเทศ หรือในอุปกรณ์ Wi-Fi พกพา นั้นไม่ใช่ของฟรี โดยมีทั้งแพ็คเกจแบบคิดตามปริมาณ หรือใช้งานได้ไม่อั้นแต่จำกัดปริมาณที่ใช้ได้บนความเร็วสูงสุด (หรือที่เรียกว่ากฎ Fair Use Policy) ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้คุณต้อง “ประหยัด” การใช้งานเอาไว้ เราจึงมีตัวอย่างปริมาณการใช้ข้อมูลอินเตอร์เน็ตมาแนะนำคุณดังนี้

  • การรับส่งข้อความ (แช็ท) ใช้อัตราการรับส่งข้อมูลน้อยที่สุด สามารถใช้งานได้ปริมาณมากและแทบจะไม่มีผลต่อปริมาณอินเตอร์เน็ตคงเหลือเลย เนื่องจากตัวอักษรมีขนาดน้อยมากในระดับไม่กี่ไบท์เท่านั้น (1 ล้านไบท์ เท่ากับ 1 MB)
  • การรับส่งอีเมล ใช้อัตราการรับส่งข้อมูลน้อย โดยอีเมล 1 ฉบับอาจใช้การรับส่งเพียง 0.5 – 5 MB เท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าในอีเมลมีเนื้อหาอะไรอยู่บ้าง และคุณได้เปิดหรือปิดการรับอีเมลในช่วงใช้เน็ตต่างประเทศหรือเปล่า
  • การรับส่งรูปภาพ ใช้อัตราการรับส่งข้อมูลปานกลาง ขึ้นอยู่กับขนาดรูปจากกล้องที่ใช้ถ่าย ซึ่งอาจจะมีขนาดเล็กๆ เพียง 0.2 MB หรืออาจใหญ่ได้ถึง 10 MB แต่แอพพลิเคชั่นอย่าง LINE หรือ Facebook จะมีการย่อขนาดรูปให้ก่อนส่งด้วย
  • การรับส่งเพลง-คลิปเสียง ใช้อัตราการรับส่งข้อมูลปานกลาง ขึ้นอยู่กับประเภทของไฟล์และระยะเวลาของไฟล์ โดยประมาณ 1 – 5 MB แต่โดยปกติการไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องรับส่งเพลงหรือคลิปเสียงอยู่แล้ว
  • การรับส่งวิดีโอ ใช้อัตราการรับส่งข้อมูลมากที่สุด ขึ้นอยู่กับความละเอียดและระยะเวลาของวิดีโอที่อาจใช้อินเตอร์เน็ตได้นับ 100 MB ภายในวิดีโอเดียว ซึ่งสามารถทำให้ปริมาณอินเตอร์เน็ตคงเหลือหมดลงได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่นาน

 

4. วิธีการประหยัดการใช้อินเตอร์เน็ต

วิธีการที่จะประหยัดปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตในต่างแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพให้ลองปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

  • ปิดการอัพเดทแอพพลิเคชั่นและระบบภายในของสมาร์ทโฟนทั้งหมด
  • ไม่เปิดใช้แอพพลิเคชั่นที่ไม่จำเป็น ซึ่งอาจทำให้แอพเหล่านั้นต้องใช้อินเตอร์เน็ตเพื่ออัพเดทข้อมูลล่าสุดให้คุณ
  • หลีกเลี่ยงการเปิดคลิปวิดีโอ หรือฟังเพลงออนไลน์ขณะใช้อินเตอร์เน็ตในต่างประเทศ
  • กรณีไม่ได้สมัครโรมมิ่งหรือใช้ไม่ได้ซิมท้องถิ่น ให้เปิด “Flight Mode” เพื่อป้องกันการรั่วไหลของสัญญาณมือถือที่อาจจะโรมมิ่งเองโดยไม่ตั้งใจ* ซึ่งอาจทำให้คุณเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากได้ในภายหลัง

*กรณีที่คุณจำเป็นต้องใช้โรมมิ่งเพื่อโทรศัพท์แต่ไม่ต้องการใช้เน็ต สามารถปิด “Mobile Data” เพื่อไม่ให้สัญญาณเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ และใช้ Wi-Fi ตามจุดกระจาย Wi-Fi ฟรีหรือจากเครื่อง Wi-Fi พกพาแทน

 

5. ใช้แอพพลิเคชั่นช่วยหา Wi-Fi ฟรี

หากคุณเลือกที่จะหา Wi-Fi ฟรีล่ะก็ เรามีแอพหาไวไฟฟรีดีๆ มาเป็นตัวช่วยในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตให้คุณ โดยแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ได้ทำการปักหมุดตำแหน่งที่มี Wi-Fi ให้บริการคุณในละแวกใกล้เคียงเอาไว้และให้คุณเลือกหาใช้บริการได้จากแผนที่ และความแม่นยำจะขึ้นอยู่กับการรายงานจากผู้ใช้แอพ ซึ่งแอพพลิเคชั่นประเภทนี้ก็มีหลายแอพให้เลือก และเราขอแนะนำแอพพลิเคชั่น WiFi Finder และ WifiMapper ที่มีผู้ใช้อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดมากกว่า 1 แอพเพื่อนำมาเปรียบเทียบข้อมูลกันได้เช่นกัน

เป็นไงบ้างคับ กับบทความที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ หลายๆคนไปเที่ยวต่างประเทศก็จะได้หายกังวลซักทีว่าจะใช้เน็ตยังไง ไปต่างประเทศจะใช้เน็ตยังไง? หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยนชน์สำหรับทุกคนนะคับ

 

ขอขอบคุณบทความจาก : https://www.skyscanner.co.th/news/tips/internet-in-your-overseas-trip/

หลายๆคนที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือในปัจจุบัน คงงงกันใช่ไหมคะ 3G, 4G มันคืออะไร แตกต่างกันยังไง เห็นคนพูดถึงกันบ่อยๆ สัญญาณ 4G LTE เร็ว แรง จริงไหม? เพราะอะไร? ยังไง? วันนี้เรามาทำความรู้จักสัญญาณตั้งแต่รุ่น 1G จนถึง 4G LTE ในปัจจุบันกันเลยคะ ตามไปอ่านได้ในบทความด้านล่างเลย

 

…ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้โลกทุกวันนี้กลายเป็นโลกไร้พรมแดน ซึ่งทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายกว่าเดิม โดยสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารนั้นกลายเป็นเรื่องง่ายนั่นก็คือ เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายยุค 3G และ 4G LTE ที่เราทุกคนเคยได้ยินกันในปัจจุบัน แต่จะมีซักกี่คนที่เข้าใจความหมายของเทคโนโลยีนี้ว่าตกลงแล้วคืออะไร? ก่อนที่เราจะมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีนี้ เราควรทราบถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเครือข่ายโทรศัพท์มือถือก่อนที่จะมาเป็น 3G และ 4G LTE ในยุคปัจจุบัน
วิวัฒนาการก่อนจะเป็นเทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย 4G LTE ซึ่งคำว่า G ย่อมาจาก Generation แปลว่า ยุค หรือช่วงสมัย ไม่ได้หมายถึงชื่อของเทคโนโลยีที่หลายๆ คนมักเข้าใจผิด

 

 

ยุค 1G (1st Generation)

เป็นยุคที่ใช้ระบบอนาล็อก (Analog) คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง (Voice) โดยสามารถโทรออก-รับสายได้อย่างเดียว ไม่สามารถส่งผ่านข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่การรับ-ส่ง SMS โดยในยุคนั้นผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่มักเป็นบุคคลที่มีรายได้สูง

 

ยุค 2G (2nd Generation)

เป็นยุคที่เปลี่ยนจากการส่งคลื่นวิทยุแบบอนาล็อก (Analog) มาเป็นการเข้ารหัสดิจิตอล (Digital) แทน โดยผู้ใช้สามารถใช้งานทางด้านข้อมูลก็คือสามารถส่งข้อความ SMS ได้นอกเหนือจากการโทรออก-รับสาย รวมทั้งยังทำให้เกิดการบริการต่างๆ มากมาย เช่น การเปิดให้ดาวน์โหลด Ringtone, Wallpaper ซึ่งในยุคนี้ถือเป็นยุคเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือ ถัดมาได้มีการนำเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) มาใช้ เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้มีการรับ-ส่งข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเช่น นอกจากส่งข้อความ SMS แล้วยังสามารถส่ง MMS ได้อีกด้วย, เสียงเรียกเข้ามีการเพิ่มเสียงเป็นแบบ Polyphonic และ True tone รวมทั้งเริ่มมีโทรศัพท์มือถือที่มีหน้าจอสี นอกจากหน้าจอขาว-ดำ ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาความเร็วในการส่งข้อมูลเพิ่มสูงขึ้น โดยเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) ซึ่งจะมีความเร็วมากกว่า GPRS ประมาณ 3 เท่า ทำให้สามารถเข้าเว็ปไซด์ เล่นอินเตอร์เน็ตได้ แต่ความเร็วยังมีจำกัด และไม่สามารถรองรับไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ได้ โดยเทคโนโลยี GPRS และ EDGE ถูกนำมาใช้ในระบบมาตรฐานคลื่นความถี่ GSM (Gobal System for Mobile Communication)

 

ยุค 3G (3rd Generation)

เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 ซึ่งจะมีความโดดเด่นในเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูลโดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง เพื่อรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์สมัยใหม่ ที่ช่วยให้สามารถใช้งานด้านมัลติมีเดียได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสามารถส่งข้อมูลทั้งภาพและเสียงในระบบไร้สายด้วยความเร็วที่สูง ซึ่งก่อให้เกิดการใช้งานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการสนทนาผ่านวีดีโอคอล หรือดูหนัง ฟังเพลงผ่านระบบอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการบริการที่เรียกว่าแอพพลิเคชั่นอีกด้วย ในยุคนี้ถือว่าเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิตเลยก็ว่าได้ ซึ่งยุค 3G เป็นยุคเทคโนโลยีไร้สายที่ถูกพัฒนามาจากยุค 2G ที่มีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน ให้มีขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่เหนือกว่า สำหรับประเทศไทยได้นำเทคโนโลยี UMTS ( Universal Mobile Telecommunications System) มาใช้ ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายมาตรฐานใหม่ที่ถูกพัฒนามาจาก ระบบมาตรฐานคลื่นความถี่ GSM ที่มีเทคโนโลยีหลักคือ W-CDMA ต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยี HSPA+ ที่สามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 42 Mbps

 

ยุค 4G หรือ (4th Generation)

ถือได้ว่าเป็นยุคปัจจุบันสำหรับทั่วโลกยุค 4G หรือ (4th Generation) ถือได้ว่าเป็นยุคปัจจุบันสำหรับทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยที่พึ่งจะจบการประมูลคลื่นความถี่กันไปเป็นที่เรียบร้อยและเตรียมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบเร็วๆ นี้

หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า 4G LTE และคงมีคำถามว่าแล้ว LTE คืออะไร? เกี่ยวข้องกับ 4G อย่างไร? สำหรับ LTE นั้นย่อมาจาก Long Term Evolution เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ถูกนำมาทดลองใช้ในยุค 4G โดยเกิดจากความร่วมมือของ 3GPP (3rd Generation Partnership Project) ที่มีการพัฒนาให้ LTE มีความเร็วมากกว่ายุค 3G ถึง 10 เท่า โดยมีความสามารถในการส่งถ่ายข้อมูลและมัลติมีเดียสตรีมมิ่งที่มีความเร็วอย่างน้อย 100 Mbps และมีความเร็วสูงสุดถึง 1 Gbps นอกจากเทคโนโลยี LTE แล้วยังมีอีก 2 เทคโนโลยีที่ถูกนำมาทดลองใช้เหมือนกันคือ UMB (Ultra Mobile Broadbrand) ที่พัฒนามาจากมาตรฐาน CDMA2000 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในยุค 3G นั่นเองและ WiMax (Worldwide Interoperability for Microwave Access) เป็นเทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูง โดยพัฒนามาจากมาตรฐาน IEEE 802.16 ซึ่งเป็นมาตราฐานเดียวกันกับ Wi-Fi แต่มาตรฐาน Wimax สามารถส่งสัญญาณได้ไกลถึง 40 ไมล์ ด้วยความเร็ว 70 Mbps และมีความเร็วสูงสุด 100 Mbps โดยปัจจุบันนี้มีเพียง 2 เทคโนยีที่ถูกนำมาใช้ในยุค 4G คือ เทคโนโลยี LTE และ Wimax ซึ่งเกือบทุกประเทศทั่วโลกใช้เทคโนโลยี 4G LTE แต่มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยี 4G Wimax เช่น ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน บังคลาเทศ เป็นต้น

ซึ่งในยุค 4G นี้ถือว่าเป็นยุคที่ถูกพัฒนาก้าวมาอีกขั้นโดยมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลมากกว่ายุค 3G ที่ช่วยตอบสนองการใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ตไร้สายให้ดีขึ้น ทำให้สามารถส่งรับข้อมูลได้รวดเร็วกว่าเดิม และสามารถใช้โปรแกรมมัลติมีเดียได้อย่างเต็มที่ เช่น การสนทนาผ่านโปรแกรม Video Conference ในระดับความคมชัดแบบ HD, โหลดหนัง ฟังเพลง โดยไม่สะดุด และยังสามารถอัพโหลด – ดาวน์โหลดข้อมูลที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ๆ ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน นอกจากนี้เทคโนโลยี 4G LTE ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากกว่า 130 ประเทศทั่วโลก ทำให้สามารถใช้งานบนมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

 

เป็นไงบ้างคะ บทความนี้คงทำให้หลายๆคนเข้าใจเรื่องความเป็นมาของสัญญาณแต่ละแบบกันแล้วนะคะ ครั้งหน้าจะมีบทความอะไรมาฝาก ติดตามกันด้วยนะค้าาา

ผู้เขียนรีวิวนี้
Chontida (Teaw)
สวัสดีค่ะ พูดน้อย เรียบร้อย ร้องเพลงเพราะ คิดถึงน้องแต้วนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://news.siamphone.com/news-13123.html


CATEGORY


SEARCH FAQ