โลโก้ของ เลือกให้
คำถามถามบ่อย

tag : ท่องเที่ยว

หากคลิ๊กที่คำถาม คำตอบจะปรากฎขึ้น

เดี๋ยวนี้ใครๆก็ถือสามารฺทโฟนกันหมดแล้วใช่ไหมคับ? แน่นอนว่าในสมาร์ทโฟนก็จะมีแอปพลิเคชั่นต่างๆให้ได้ใช้กันมากกมาย แต่สำหรับขาเที่ยวหรือคนที่กำลังจะเตรียมตัวไปเที่ยวนั้นก็มีแอปพลิเคชั่นเด็ดๆที่ทำให้สะดวกในการเที่ยวมากขึ้นและสนุกมากยิ่งขึ้นด้วย วันนี้เราเลยมีบทความแนะนำ 6 แอปพลิเคชั่นเหล่านั้นกัน ไปดูกันเลยว่ามีอะไรกันบ้าง

1. Google Maps

ตัวช่วยที่ขาดไม่ได้เลยด้วยประการทั้งปวงโดยเฉพาะผู้ที่ชอบเดินทาง อย่าง กูเกิลแมพส์ และนี่เป็นบริการแผนที่ฟรีที่ละเอียดถี่ยิบ ครบทุกเส้นทาง บอกทางคุณได้ตั้งแต่ การออกเดินทาง เส้นทางหลวง เส้นทางหลัก

ยันซอยลูกรังข้างป่าในถิ่นทุรกันดาร พร้อมให้ค้นหาสถานที่สำคัญครบถ้วนทุกแห่งเท่าที่คุณจะนึกออก จึงเหมาะมากกับคนที่ชื่นชอบการแบกเป้เที่ยวเอง และเป็นผู้ช่วยชีวิตชั้นดีเมื่อต้องเดินทางด้วยตนเองในต่างประเทศ

 

2. Google Translate

เมื่อไหร่ไปต่างบ้าน ต่างเมือง กูเกิล ทรานสเลต จะกลายเป็นตัวช่วยที่คุณต้องการ ด้วยความสามารถในการแปลภาษาที่ไม่ใช่แค่การพิมพ์ข้อความแล้วกดแปลเท่านั้น แต่ทำได้ถึงขั้นฟังเสียงแล้วแปล

หรืออ่านข้อความจากกล้องก็ทำได้ รองรับภาษาในประเทศยอดฮิตทั้ง 4 ประเทศมาแล้ว หรือถ้าคุณกลัวจะอ่านออกเสียงภาษาท้องถิ่นไม่ถูก ก็จัดให้ กูเกิล ทรานสเลต อ่านออกเสียงให้ก็ได้

 

3. My Currency

แน่นอนว่าการเดินทางท่องเที่ยวในต่างแดนนั้น ย่อมต้องเกิดการแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือสำหรับใครที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง จะลองคำนวณราคาสินค้าในสกุลเงินท้องถิ่นเปลี่ยนเป็นสกุลเงินบาท

เพื่อที่จะได้คำนวณค่าใช้จ่ายถูกนั้น แอพ My Currency ถือว่าสำคัญและเป็นประโยชน์มากๆ

 

4.WiFi Map Pro

สิ่งที่สำคัญสำหรับสายโซเชี่ยลอย่างเราๆ เวลาไปต่างประเทศนั่นก็คือ Wifi สิ่งที่จะช่วยเชื่อมต่อเรากับโลกภายนอกได้ และยังช่วยให้เราเดินทางได้ง่ายขึ้นด้วยในการหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต

แอพ Wifi Map Pro จะช่วยค้นหาสัญญาณ Wifi ให้แก่คุณ รับรองว่าคุณจะโพสต์รูปสวยๆ ลงในโซเชี่ยลได้อย่างทันใจแน่นอน

 

5.Skyscanner

ในยุคนี้การจองตั๋วเครื่องบินและที่พักในต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะเพียงคุณมีแอปฯ Skyscaner การจองตั๋วเครื่องบินและที่พักก็จะง่ายดายเพียงแค่แอปฯ เดียวเอาอยู่

แถมยังได้ดีล การจองที่อาจมีราคาถูกกว่าการจองโดยตรงอีกด้วย ถือว่าเป็นประโยชน์มากๆ สำหรับการวางแผนด้านงบประมาณในการท่องเที่ยว และเป็นแอปฯ ที่น่าเชื่อถืออีกด้วย

 

6.The Weather Channel

ถ้าจะมีแอพไหนที่ช่วยให้คุณไม่ เหวี่ยง วีน กับสภาพอากาศอันย่ำแย่เวลาจะออกไปเที่ยวไหนแล้วล่ะก็ แอปฯ The Weather Channel นี่แหละครับที่พอจะช่วยคุณได้

ด้วยการพยากรณ์อากาศที่แม่นยำและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดแอพหนึ่ง สามารถคาดคะเนสภาพลมฟ้าและแสงแดดในทุกสถานที่ที่คุณต้องการจะไปแบบล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ ช่วยลดโอกาส “ทริปล่ม” จากพายุฟ้าฝนลงได้เยอะเลยทีเดียว

เป็นยังไงกันบ้างล่ะครับ แอปพลิเคชั่นช่วยคุณได้ในยามอยู่ต่างถิ่น แม้จะเป็นเพียง อุปกรณ์ชิ้นเดียวที่มากความสามารถที่เหนือกว่า มนุษย์จริงๆ ยังไง ได้ใช้แล้วอย่าลืมบอกต่อด้วยนะครับ

 


ขอขอบคุณข้อมูลและบทความจาก : https://www.sanook.com/travel/1410369/

หลายๆคนเวลาเดินทางๆนานๆ 12 ชั่งโมงขึ้นไป หรือข้ามไปอีกซีกโลก มักจะเกิดอาการ Jet Lag บ่อยๆ แต่หลายๆคนก็ไม่ทราบว่าอาาร Jet Lag เหล่านั้นคืออะไร อาการ Jet Lag ก็คืออาการที่ร่างกายและเวลชีวิตเราเปลี่ยนจากเดิม เช่นเราเคยนอนกลางคืนในช่วงนี้ แล้วตื่นกลางวันในช่วงนี้ แต่พอเดินทางไปต่างประเทศที่ไกลๆ คนละซีกโลก ทำให้เวลากลางคืนกับกลางวันของเราสลับกัน เลยทำให้ให้เกิดอาการ Jet Lag


ลองสมมติง่ายๆ ว่า เราเดินทางไปเที่ยวแคนาดาที่มีเวลาช้ากว่าเมืองไทย 12 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับว่า กลางวันของแคนาดาคือกลางคืนบ้านเรา ส่วนกลางคืนบ้านเราเป็นช่วงกลางวันของเขา แน่นอนว่าหากร่างกายปรับตัวเข้ากับโซนเวลาใหม่ไม่ทัน กระทบนาฬิกาชีวิตของร่างกาย จนเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลาก็คงจะทำให้หมดสนุกในการท่องเที่ยวแน่นอน อาการเจ็ตแล็กจะเกิดได้แบบต่างๆ ดังนี้

ลักษณะอาการ Jet Lag เป็นอย่างไร
Jet Lag เกิดจากความผิดปกติทางการนอน พฤติกรรมการนอนหลับเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น นอนไม่หลับ หรือนอนหลับมากกว่าปกติ
รู้สึกง่วงนอนตอนกลางวัน เหนื่อยง่าย และอ่อนเพลียตลอดเวลา
สับสน มึนงง เวียนหัว มีอาการปวดหัวร่วมด้วย รู้สึกไม่สบายตัวเหมือนจะเป็นไข้หวัด
อารมณ์ไม่ดี โมโหง่าย ฉุนเฉียวบ่อยครั้ง
ระบบทางเดินอาหารแปรปรวน เกิดอาการอาหารไม่ย่อย ไม่ขับถ่ายจากอาการท้องผูก เมื่ออาหารไม่ย่อยก็ทำให้ผู้ที่มีอาการ Jet Lag เบื่ออาหาร
อาการเหล่านี้อาจเกิดได้กับทุกคน เมื่อเราเดินทางไปในประเทศที่มีเวลาต่างจากเรามากๆ ใครรู้ตัวว่าต้องไปเที่ยวต่างประเทศที่อยู่ไกล เวลาต่างกันสุดๆ มาเตรียมตัวดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดให้พร้อมเลยค่ะ โดยเฉพาะใครที่พาคุณพ่อคุณแม่ออกทัวร์โลกกว้างไปด้วยแล้ว ยิ่งต้องเรียนรู้ กับ 10 วิธีแก้ Jet Lag ฉบับเบื้องต้น สำหรับรับมืออาการเมาเวลา ทำได้ง่ายๆ มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

1 ออกกำลังกาย

ก่อน เที่ยวต่างประเทศ วิธีแก้ Jet Lag เบื้องต้นคือ ควรออกกำลังกายเบาๆ ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 2-3 วัน และต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ก็จะทำให้ร่างกายสามารถปรับสภาพให้เป็นปกติได้เร็ว ที่สำคัญควรละทิ้งความเครียด ปรับสภาพจิตใจให้ผ่อนคลาย ห้ามคร่ำเคร่งทำงานหามรุ่งหามค่ำก่อนออกเดินทางเด็ดขาด

2. ปรับเวลานอนก่อนเดินทางไกล

เป็นอีกหนึ่ง วิธีแก้ Jet Lag ที่ทำให้คุณไม่ต้องพึ่งยานอนหลับอีกต่อไป หากเตรียมปรับเวลาเข้านอนก่อนออกเดินทางจริง 2-3 วันล่วงหน้า เช่น ต้องเดินทางไปฝั่งตะวันออกให้เข้านอนเร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมง และถ้าต้องไปเยือนเขตเวลาฝั่งตะวันตกก็ปรับเวลานอนให้ช้ากว่าเดิม 1 ชั่วโมง รวมทั้งปรับเวลารับประทานอาหารให้ตรงกับ Time Zone ที่กำลังจะไปก็เวิร์คนะจ๊ะ

3. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง

ควรเตรียมเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ต, ตั๋วเครื่องบิน และของใช้จำเป็นติดตัวไปด้วย เช็คสัมภาระของคุณให้ครบถ้วน ก่อนเดินทาง 1 วัน ช่วยลดความประหม่า ความกังวลที่อาจเป็นสาเหตุของอาการ Jet Lag

4. หาท่านั่งที่สบายที่สุด

ถึงสนามบิน เช็คอินเสร็จ โหลดกระเป๋าเรียบร้อย ก่อนเหินฟ้าไปต่างแดน เลือกเลยค่ะท่านั่งที่ดีที่สุด สบายที่สุด ชิลล์ที่สุด เพื่อให้ระหว่างการเดินทางฟินที่สุดช่วยลดอาการ Jet Lag ได้เบื้องต้น

5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

นอกจากเราต้องนอนหลับให้เพียงพอก่อนการเดินทาง หากต้องนั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน ควรเตรียมไอเท็มช่วยให้การนอนบนเครื่องหลับสบาย ผ่อนคลายขึ้น เช่น ผ้าปิดตา, ที่อุดหู และหมอนรองคอใบโปรด รวมถึงควรสวมใส่ถุงเท้าทุกครั้ง เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ สามารถคลิกไปชม วิธีแก้เบื่อและการเตรียมตัวเมื่อต้อง นั่งเครื่องบินนาน ได้เลยค่ะ

6. หมั่นขยับร่างกาย

หากเดินทางนานๆ แล้วนอนไม่หลับ ควรเลือกบริหารร่างกายเบื้องต้น เช่น เดินระหว่างที่นั่ง เอี้ยวตัวไปมาเล็กน้อย ขยับยกขาขึ้นลงเล็กน้อย แกว่งแขนเบาๆ ช่วยลดความเครียด อาการเหน็บชาได้เบื้องต้น

7. ดื่มน้ำบ่อยๆ

เนื่องจากภายในห้องโดยสารเครื่องบินมีอากาศน้อยกว่าปกติและมีความชื้นต่ำ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย รวมถึงอาการหายใจไม่สะดวก รู้สึกอ่อนเพลีย ทั้งนี้เพื่อลดอาการ Jet Lag ระหว่างเดินทาง ควรจิบน้ำอยู่เสมอ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ ลดอาการช็อก รวมถึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนด้วยนะคะ

8. ถึงง่วงก็ต้องทน

เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว หากยังมีอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนตลอดเวลา ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเขตเวลาใหม่ได้ เบื้องต้นควรฝืนทนอดนอนก่อน แล้วค่อยๆ ปรับตัวทีละนิด รอให้ถึงช่วงเวลาพักผ่อนตามปกติของประเทศนั้นๆ ค่อยนอนหลับพักผ่อน ก็จะทำให้เราเข้ากับเวลาใหม่ได้ค่ะ

9. รับแสงสว่างจากธรรมชาติ

ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ สัมผัสสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ โดยเฉพาะแสงแดด จะยิ่งช่วยให้ร่างกายเราสดชื่นขึ้น แสงสว่างจากธรรมชาติจะช่วยเยียวยาอาการเมาเวลา และช่วยปรับนาฬิกาชีวิตให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้เป็นอย่างดี

10. หากอาการ Jet Lag ไม่ทุเลา ควรปรึกษาแพทย์

โดยปกติทั่วไปอาการ Jet Lag จะดีขึ้นภายใน 1-2 วัน หากอาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น มีอาการน้ำมูกไหล คลื่นไส้ วิงเวียน มึนงง ปวดหัวตลอดเวลา อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือท้องร่วง ควรพบแพทย์โดยด่วน เพื่อรักษาอาการดังกล่าว ห้ามซื้อยารับประทานด้วยตนเองโดยเด็ดขาดนะจ๊ะ

ทำความเข้าใจกับ 10 วิธีแก้ Jet Lag ฉบับเบื้องต้นที่ทำได้ง่ายๆ กันแล้ว ก็หวังว่า เที่ยวต่างประเทศ รอบนี้จะหายจากอาการเจ็ตแล็กได้โดยเร็ว จะได้พาครอบครัว พาพ่อแม่ออกไปเที่ยวให้สนุกสนาน รีชาร์จพลังชีวิตให้เต็มที่ในช่วงลาพักร้อน ก่อนกลับมาลุยงานต่อ

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลและบทความจาก : https://www.sanook.com/travel/1410621/

 

สำหรับนักเดินทางและนักท่องเที่ยวต่างๆ การได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆเป็นสิ่งที่ไฝ่ฝัน และเป็นความชอบ แต่ใช่ว่าจะไปตักตวงความสุขตามสถานที่ต่างๆเท่านั้น เรายังต้องทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี วันนี้เรามีบทความ 18 เคล็ดลับเที่ยวให้สนุกและทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีกันคะ เราไปดูกันเลยว่า 18 เคล็ดลับเที่ยวให้สนุกพร้อมทำตัวเป็นนักเดินทางที่ดีมีอะไรบ้าง!

 

1. ให้เกียรติสถานที่นั้น ๆ

ไม่ใช่ว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ หรือคิดว่าตัวเองมาแค่ชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็ดันทุรังทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ โดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมหรือกฎกติกามารยาทในสังคมนั้น ๆ ลองคิดกลับกันว่าหากมีชาวต่างชาติมาทิ้งขยะหน้าบ้านเรา เราก็คงจะไม่ชอบเช่นกัน ดังนั้น ควรปฏิบัติตามมารยาทสากลหรือตามที่สถานที่ท่องเที่ยวนั้นกำหนดจะดีกว่า

 

2. ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ

หากคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะไปเที่ยวที่ใดก็ควรจะศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ เช่น เวลาเปิด-ปิด, ค่าเข้าชม รวมทั้งฤดูกาลที่เหมาะสมด้วย อย่างเช่น อุทยานแห่งชาติหรือเกาะบางเกาะที่มักจะมีฤดูเปิด-ปิดเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ จะได้ไม่ไปเก้อยังไงล่ะ ที่สำคัญเรื่องสภาพอากาศก็สำคัญนะ เพราะหากจะให้เที่ยวทะเลช่วงพายุเข้าเห็นทีจะไม่สนุกแน่ ๆ

 

3. เคารพวัฒนธรรม

แม้ว่าคุณอาจจะไปพบเจอกับหลาย ๆ สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในท้องถิ่นนั้น ก็อย่าเสียมารยาททำในสิ่งที่พวกเขาเชื่อ เช่น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บางแห่งที่อาจจะต้องถอดรองเท้าก่อนเข้า คุณก็ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หรือเอาง่าย ๆ อย่างปะระเพณีลอยกระทงบ้านเรา คุณคงจะไม่พอใจเช่นกันหากชาวต่างชาติใช้โฟมเป็นวัสดุทำกระทง

 

4. อย่าลืมขออนุญาตก่อนถ่ายรูป

กล้องถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวถือเป็นของคู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเห็นอะไรก็จะถ่ายไปเสียหมด เพราะสำหรับบางแห่งก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เช่น ร้านที่ขายของจำพวกไอเดีย ตามตลาดนัดหรือถนนคนเดิน หรือแม้กระทั่งตัวบุคคลเองก็เถอะ แม้ว่าคุณจะเห็นเด็กน้อยน่ารักน่าชังแต่ก็คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถ่ายภาพใครก่อนที่เขาจะอนุญาตนะคะ

 

5. เรียนรู้คำประจำถิ่น

ถือเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่จะทำให้ทริปของคุณเติมเต็มมากขึ้น นั่นก็คือ การเรียนรู้คำประจำถิ่น เช่น คำว่าสวัสดี, ขอโทษ และขอบคุณ ถือเป็นคำยอดฮิตที่ใช้ได้เกือบจะทุกสถานการณ์ และแน่นอนว่าคำพวกนี้ก็หาได้ง่าย ๆ จากอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ก่อนการเดินทางก็อย่าลืมจดและจำคำพื้นฐานเหล่านี้ไว้ให้ดี เชื่อเถอะว่าคุณจะได้ใช้มันอย่างแน่นอน

 

6. สร้างมิตร

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนการสร้างมิตรก็ดีกว่าการสร้างศัตรูแน่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างถิ่นต่างแดน หากสร้างมิตรไว้บ้างก็ดีไม่น้อย เผื่อว่าในอนาคตหากคุณกลับมาเที่ยวที่เดิมจะได้มีไกด์ช่วยแนะนำที่เที่ยวยังไงล่ะ หรืออาจจะบอกคนที่คุณสร้างมิตรด้วยว่าหากมีโอกาสก็อย่าลืมมาเที่ยวในถิ่นของคุณบ้าง เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยและแนะนำซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรดูด้วยว่าเขาพร้อมจะเป็นมิตรกับคุณหรือเปล่า

 

7. เข้าถึงท้องถิ่น

การไปเที่ยวอย่างเข้าถึงท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นการสร้างสีสันการท่องเที่ยวของคุณได้ดีจริง ๆ เพราะนอกจากคุณจะสนุกกับที่เที่ยวที่ไม่มีอยู่ในหนังสือหรืออินเทอร์เน็ตแล้ว คุณยังจะได้เรียนรู้ท้องถิ่นนั้นจริง ๆ ทั้งอาหารถิ่น ภาษาถิ่น หรือของดีประจำถิ่น แบบนี้สิถึงจะเที่ยวแบบถึงพริกถึงขิงของจริง

 

8. อย่าพลาดค้างคืนที่โฮมสเตย์

ไม่มีอะไรจะเติมเต็มการท่องเที่ยวของคุณให้ครบรสเท่ากับการพักค้างคืนที่โฮมสเตย์แล้วล่ะ เพราะนอกจากจะได้บรรยากาศและกลิ่นอายของท้องที่นั้นแล้ว คุณยังจะได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนด้วย เรียกว่ารู้ลึกรู้จริงเสมือนเจ้าของถิ่นเลย จะมาเที่ยวครั้งหน้าหรือครั้งไหนก็ไม่ต้องกังวล

 

9. ชิมอาหารเลื่องชื่อให้ครบ

ไปเที่ยวทั้งทีหากจะมัวสั่งข้าวผัดหรือกะเพราไก่ไข่ดาวไปซะทุกทีแบบนี้ก็ยังถือว่ามาไม่ถึงถิ่นเลยนะ ดังนั้น คุณควรจะเปิดใจลิ้มลองรสชาติใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคยบ้าง แล้วอย่าพลาดที่จะลิ้มรสอาหารประจำถิ่นชื่อดังให้ครบล่ะ ชิมร้านนี้นิดร้านโน้นหน่อย นอกจากจะเพลิดเพลินแล้วบางทีคุณอาจจะพบเมนูโปรดจานใหม่ก็ได้นะ

 

10. มาเที่ยวจริง ๆ

หากตั้งใจอยากมาเที่ยวพักผ่อนแล้วก็ควรมาเพื่อเที่ยวจริง ๆ โดยเก็บทุกความทรงจำทุกรายละเอียดไว้ ตั้งแต่ออกเดินทาง พร้อมเรียนรู้ไปกับสิ่งแวดล้อมใหม่ และปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลายที่สุด จะได้มีพื้นที่มาตักตวงความสุขเก็บไว้เยอะ ๆ ไงล่ะ

 

11. ออกนอกแผนบ้างก็ได้

การวางแผนเที่ยวเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยคุณจะได้รู้เกี่ยวกับเวลาที่จำกัดและระยะเวลาการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่หากพอมีเวลาเหลือจากกำหนดการที่คุณตั้งไว้แล้ว ก็อย่าลืมที่จะซอกแซกออกนอกเส้นทางบ้าง เพราะนอกจากจะทำให้คุณได้เรียนรู้ที่เที่ยวใหม่ ๆ แล้วยังเป็นประสบการณ์สดใหม่ที่น่าตื่นเต้นด้วย

 

12. ยิ้มเข้าไว้

ไม่มีทริปไหนที่จะสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างหรอก ถ้าไม่หลงทางก็ต้องเจอกับสภาพอากาศไม่เป็นใจกันบ้างล่ะ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อย่างหัวเสียไปนะคะ คิดเสียว่าทุกอย่างคือบทเรียนที่ทำให้คุณรอบคอบมากขึ้น และแม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ตั้งสติไว้ก่อน เพราะบางอย่างมันอาจเป็นเหตุสุดวิสัยที่แก้ไขอะไรไม่ได้จริง ๆ

 

13. มาเที่ยวด้วยตนเอง

จริงอยู่ที่การมาเที่ยวแบบเป็นกรุ๊ปหรือแบบทัวร์นั้นจะอำนวยความสะดวกให้คุณมากกว่า แต่ก็อย่าลืมว่าค่าใช้จ่ายก็มากตามไปด้วย ที่สำคัญคุณยังจะต้องเที่ยวในสถานที่ซึ่งมีในโปรแกรมเท่านั้น อีกทั้งบางทีคุณอาจจะอยากแช่ตัวอยู่ในสถานที่ซึ่งคุณชื่นชอบสักครึ่งวัน แต่ตามโปรแกรมทัวร์ก็ให้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง แบบนี้ขัดใจกันสุด ๆ ดังนั้น ลองเปลี่ยนที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองบ้าง เชื่อเลยว่าคุณจะต้องติดใจแบบไม่ง้อทัวร์เลย

 

14. ค้นหาที่เที่ยวใหม่ ๆ

ลองสำรวจดูสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่มีในแผนที่หรือไกด์บุ๊กบ้างก็ดีนะคะ เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หากว่าคุณยังหยุดอยู่กับสถานที่ซึ่งคนอื่นบอกไว้ และบางทีที่ซึ่งคุณค้นพบอาจจะเป็นสถานที่เด็ด ๆ ที่น้อยคนจะเข้าถึงก็ได้ ไม่แน่นะว่าวันหนึ่งมันอาจจะเป็นสถานที่ยอดฮิตซึ่งคุณน่ะไปมาแล้วเป็นคนแรก ๆ เลย

 

15. ปล่อยให้ตัวเองมีอิสระ

การเดินทางท่องเที่ยว คือ การพักผ่อนอย่างหนึ่ง ดังนั้น ควรลืมเรื่องเครียด ๆ ไปซะบ้าง และก็ไม่ต้องคอยเช็กอีเมลตลอดทุก 10 นาที หรือคอยเช็กฟีดแบ็คฟีดแบ็ค ในโซเซียลบ่อย ๆ หรอก ลองตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้นดูสักพักแล้วปล่อยให้ตัวเองมีอิสระเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น ๆ และตักตวงความสุขที่อยู่ตรงหน้าให้มากที่สุดจะดีกว่า แบบนี้สิถึงเรียกว่ามาเที่ยวพักผ่อนจริง ๆ

 

16. นั่งรถสาธารณะ

สำหรับบางคนที่รักการท่องเที่ยวแต่ไม่ชอบเดินทางซะอย่างนั้น หลายคนจึงเลือกที่จะเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่ถ้าหากคุณอยากลิ้มรสประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบเต็มรูปแบบจริง ๆ ละก็ ควรเริ่มตั้งแต่การออกเดินทางโดยการใช้บริการรถสาธารณะหรือรถไฟดูสิ รับรองว่าทิวทัศน์สวย ๆ ข้างทางจะทำให้คุณต้องทึ่งแน่นอน

 

17. ไปในที่ที่อยากไปจริง ๆ

ใคร ๆ ก็อยากไปเที่ยวสถานที่ฮิต ๆ หรือสถานที่ซึ่งเป็นแลนด์มาร์ก ของแต่ละประเทศทั้งนั้นแหละ เพราะไม่อย่างนั้นคงจะเหมือนว่ายังมาไม่ถึง แต่ก็อย่าอิงกับกระแสมากเกินไปนะคะ เพราะบางทีที่ที่คุณอยากไปจริง ๆ อาจจะเป็นแค่ทะเลสงบ ๆ ที่มีแนวปะการังให้คุณแหวกว่ายได้ทั้งวันก็เป็นได้

 

18. ชีวิตคือการเดินทาง

หากคุณเป็นคนที่รักการเดินทางท่องเที่ยวอย่างแท้จริง อย่าหยุดที่จะค้นหาที่เที่ยวใหม่ ๆ หรือแม้แต่ที่เที่ยวเดิม ๆ แต่มองด้วยมุมมองใหม่ ๆ เช่น การเที่ยวภูเขาในฤดูฝนแทนที่จะเป็นฤดูหนาวเพียงอย่างเดียว และอย่าลืมเปิดใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามา ทั้งอุปสรรคหรือปัญหาระหว่างการท่องเที่ยวด้วย

 

ขอขอบคุณบทความจาก : https://travel.kapook.com/view96393.html

เที่ยวญี่ปุ่น? เที่ยวที่ไหน? คนจะรู้ว่าไปญี่ปุ่นละ! คำถามนี้หลายๆคนที่อยากไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีให้อัพรูปลงโซเซียลแล้วคนรู้ว่าไปญี่ปุ่น!! วันนี้เรามาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น 10 อันดับยอดนิยมและน่าเที่ยวสำหรับคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นดีกว่าคะ เราไปดูกันว่ามีที่ไหนบ้างยอดฮิต และน่าเที่ยว

1. พระราชวังอิมพีเรียล

พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีก หนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน

ซึ่ง ภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ

 

2. โตเกียว ทาวเวอร์

โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอย สื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของ โลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย

 

3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ

ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า “กัสโช” หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการ ใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

 

4. ภูเขาฟูจิ

ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko) หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu

นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้

 

5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ

เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่ง ท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่ สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม

 

6. โอซาก้า

เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan

แต่ ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร “คุอุดะโอะเระ” ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยากิ

 

7. ปราสาทฮิเมะจิ

ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด

ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น

อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้ บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน

 

8. วัดโทไดจิ

วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญ ของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือ วิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)

 

9. ฮอกไกโด

ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของ ญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม

โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็น เมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้

เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส

 

10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ

  เมืองฟุระโนะ ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดู หนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือน กันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคม ถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี

เรียกได้ว่า 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เรานำมาฝากนี้ จะเป็นทางเลือกที่ดีในการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่น เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสักที่เลยจ้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://travel.kapook.com/view62960.html

สำหรับใครที่มีแพลนไปเที่ยวแค่โตเกียวหรือมีธุระที่โตเกียว แล้วอยากเที่ยวแต่มีเวลาน้อย เบื่อบรรยากาศแบบเมืองหลวง อยากท่องเที่ยวสถานที่อื่นๆบ้าง แต่ไม่มีเวลาออกไปต่างจังหวัดไกลๆมาเช่น โอซาก้า, เกียวโต หรือฮอกไกโด เป็นต้น วันนี้เรามาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆโตเกียวกันคะ แบบสามารถไปเช้าเย็นกลับได้ แบบชิวๆ เผื่อคนอยากเที่ยวแต่มีเวลาน้อย เราไปดูกันเลยคะว่ามีที่ไหนบ้าง

 

1. ฮาโกเน่(Hakone)

เป็นส่วนหนึ่งของเทือกภูเขาไฟในอุทยานแห่งชาติ Fuji-Azu-Hakone มีแหล่งท่องเที่ยวเป็นการล่องเรือเที่ยวชมทะเลสาบ Ashino ซึ่งมีวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยงาม, ชิมไข่ต้นสีดำที่ต้มด้วยน้ำแร่จากภูเขาไฟ และนั่งกระเช้าขึ้น Owakudani ที่เป็นแหล่งแช่ออนเซนชื่อดัง เรียกว่าเป็นเมืองตากอากาศชื่อดังของชาวโตเกียว เพราะอยู่ห่างไปประมาณ 100 กิโลเมตรเท่านั้น

 

2. เมืองเก่าคามาคูระ(Kamakura)

คามาคูระเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากโตเกียวประมาณ 1 ชั่วโมงโดยรถไฟ เดินทางได้ง่ายๆ เป็นเมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่นมาก่อนเรียกว่า ยุคคามาคูระ ทำให้มีวัดและศาลเจ้าที่สวยงามอยู่หลายแห่งที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ เช่น พระใหญ่ ไดบุสสึ และวัดเจ้าแม่กวนอิม รวมทั้งมีหาดทรายน้ำใสสะอาดด้วย

 

3. โอดาวะระ(Odawara)

เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่บริเวณก่อนจะถึงอุทยานแห่งชาติ Fuji-Azu-Hakone โดยมีปราสาท Odawara ที่สวยงามมีทั้งหมดด้วยกัน 7 ชั้น รวมทั้งพิพิธภัณท์ที่น่าสนใจ นับว่าเป็นปราสาทญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้กับเมืองโตเกียวมากที่สุด

 

4. โยโกฮาม่า(Yokohama)

น่าจะเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแบบเช้าเย็นกลับจากเมืองโตเกียวที่ฮิตที่สุด เพราะอยู่ใกล้ๆ เดินทางได้ง่าย และมีอะไรที่น่าสนใจมากมาย เช่น ไชน่าทาวน์ ย่านริมทะเล และพิพิธภัณท์ราเมง เป็นต้น

 

5. เมืองมรดกโลก นิกโก้(Nikko)

เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ก่อนถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาตินิกโก้ มีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย เช่น ศาลเจ้าโทโฮขุ ที่มีไม้แกะสลักเป็นลิง 3 ตัว ปิดหู ปิดตา และปิดปาก ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เอาไว้ด้วย ด้านแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติก็สวยงามเช่นกัน คือ ทะเลสาบชูเซนจิ(Chuzenji) และน้ำตกเคง่อน(Kegon Fall) โดยเฉพาะในฤดูใบไม้แดง

 

6. เมืองโบราณ คาวาโกเอะ(Kawagoe)

เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่สุดของจังหวัดไซตามะที่อยู่ติดกับเมืองโตเกียวทางทิศเหนือ ในอดีตเคยเป็นเมืองรอบปราสาทในสมัยเอโดะที่ปัจจุบันได้รับการรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ทำให้มีบ้านเรือนแบบญี่ปุ่นในสมัยโบราณตั้งเรียงรายกันอยู่อย่างสวยงาม รวมทั้งวัดและศาลเจ้าอีกหลายแห่งที่น่าสนใจด้วย

 

7. ชิชิบุ(Chichibu)

เมืองชิชิบุเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีทุ่งดอกมอสสีชมพูหรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า Shibazakura ที่สวนฮิซุจิยามะ(Hitsujiyama Park) ช่วงประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งนอกจากนี้ก็จะมีวัดและศาลเจ้าหลักของเมืองที่น่าสนใจอยู่ไม่ไกลกันนักด้วย

 

8. แหลมอิซุ(Izu Peninsula)

เป็นเมืองออนเซนริมทะเลยอดนิยมของชาวโตเกียว โดยจะมีเมืองเล็กที่ชื่อว่า อาตามิ(Atami) ที่มีบ่อแช่ออนเซนที่สวยงาม มีวิวทะเลให้ชมทั้งแบบ indoor และ outdoor ให้บริการอยู่มากมาย รวมทั้งปราสาทอาตามิ(Atami Castle)ที่สวยงามและเป็นจุดชมซากุระยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นด้วย เพราะว่ากันว่าที่นี่มักจะเป็นสถานที่แรกที่ดอกซากุระจะเริ่มบานในญี่ปุ่น โดยอยู่ห่างจากเมืองโตเกียวไม่ถึง 1 ชั่วโมงโดยรถไฟชินคันเซน

 

9. แหลมโบโซ(Boso Peninsula)

เป็นอีกหนึ่งในสถานที่เที่ยวแบบ 1 วันจากโตเกียวที่น่าสนใจมากแต่ยังไม่เป็นที่นิยมกันเท่าที่ควร ซึ่งมีอยู่ 2 จุดที่ไฮไลท์คือบริเวณเมือง Tateyama ที่มีปราสาท ศาลเจ้า และวัดที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง และอีกส่วนคือภูเขาโนโกกิริยามะ(Nokogiriyama) ที่มีวัดนิฮอนจิ(Nihonji)ตั้งอยู่ ซึ่งกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่และอลังการสุดๆวัดหนึ่งในญี่ปุ่นเลยทีเดียว

 

10. ทะเลสาบคาวากูชิโกะ(Kawaguchiko Lake)

เป็นสถานที่ตากอากาศริมทะเลสาบยอดนิยมของชาวโตเกียวที่มีวิวของภูเขาไฟฟูจิอย่างชัดเจน สวยงามมาก เป็นหนึ่งในทะเลสาบทั้ง 5 ของภูเขาไฟฟูจิที่มีขนาดใหญ่และเดินทางมาได้ง่ายที่สุด และมีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจให้ทำ จึงสามารถใช้เวลาอยู่ได้มากกว่า 1 วัน อีกไฮไลท์สำคัญของที่นี่ในฤดูใบไม้ผลิของสวนริมทะเลสาบที่มีดอกซากุระบานตลอดเป็นทางยาวช่วงต้นปลายเดือนเมษายนและสวนดอกชิบะซากุระ(Shibazakura)ขนาดใหญ่สุดพร้อมวิวภูเขาไฟฟูจิในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมด้วย

 

11. ทาคาซากิ(Takasaki)

เมืองทาคาซากิอยู่ห่างจากโตเกียวเพียง 50 นาทีด้วยรถไฟชินคันเซน มีชื่อเสียงว่าเป็นแหล่งผลิตตุ๊กตาดารูมะ(Daruma)หรือตุ๊กตาโชคลาภของชาวญี่ปุ่น มีบรรยากาศของเมืองญี่ปุ่นเล็กๆ มีวัดและศาลเจ้าที่น่าสนใจคือวัดเจ้าแม่กวนอิม และศาลเจ้าดารูมะ

 

12. เมืองออนเซน คูซัตซุ(Kusatsu Onsen)

เป็นหนึ่งในเมืองออนเซนที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองโตเกียวมากนักแต่ก็ใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนาน เกือบ 4 ชั่วโมงโดยรถบัส ถึงแม้ว่าจะสามารถเป็นเดย์ทริปได้ แต่ที่นี่เป็นเมืองออนเซนที่มีอะไรน่าสนใจอยู่มากมายเกินกว่าจะเที่ยวได้ครบใน 1 วัน

 

เป็นไงบ้างคะสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวใกล้โตเกี่ยวมีหลายรูปแบบเลยใช่ไหมคะ ทั้งแบบธรรมชาติ วัฒนธรรม ศิลปะ และอื่นๆอีกมากมาย หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่ไปเที่ยวนะคะ ทั้งนี้แนะนำว่าให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆนะคะ เผื่อไม่ให้พลาดทุกการท่องเที่ยว ขอให้เที่ยวให้สนุกนะคะ แล้วมาพบกันใหม่ในบทความหน้าคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.talonjapan.com/12-easy-day-trips-from-tokyo/


CATEGORY


SEARCH FAQ